ศิลปะและธรรมชาติ


Nature and Art

Dennis Oppenheim = Canceleed Crops
เขาได้ไปที่ทุ่งข้าวสาลี และเมื่อมันเจริญเติบโตขึ้นเต็มไร่ เขาจึงตัดมันออกเป็นรูปกากบาท
และเมื่อไม่นานนัก ในส่วนที่ได้ถูกตัดออกไป มันก็ได้เจริญเติบโตขึ้นมาอีก จนเต็มแปลงเหมือนเดิม
Dennis Oppenheim = Annual Rings
เขาไปที่ในส่วนที่มีหิมะตก และไปเจอลำธาร เขาได้ขุดบริเวณลำธาร ให้เป็นรูปวงกลมหลายๆวงซ้อนกัน ( ซึ่งการซ้อนกันของวงกลมนี้ มาจากการที่ตัดต้นไม้ แล้วเราเห็นรอยการเจริญเติบโตของไม้ ในแต่ละปีนั้นเป็นชั้นๆ ) แต่แล้วเมื่อสภาพอากาศ ค่อยๆเปลี่ยนไป อุณหภูมิค่อยๆร้อนขึ้น รอยวงกลมที่ขุดไว้นั้นก็ค่อยๆละลายๆหายไป
David Smithson = Spiral Jetiy
เขาได้ไปที่ทะเล ซึ่งไม่สามารถใช้การได้ เพราะมันเค็มมาก ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ นอกจากแบคทีเรียและตะไคร่ ซึ่งบริเวณนั้นเป็นที่ทิ้งเครื่องจักร ที่ขุดเจาะน้ำมัน เขาได้สร้างถนนในนั้นเป็นรูป ซึ่งเอาหินก้อนๆมาวางเรียงลงไปในทะเล แล้วน้ำก็จะขึ้น-ลง ทำให้เรามองเห็นงานศิลปะบ้างไม่เห็นบ้าง ตามการเปลี่ยนแปลง
Micheal Heizer = Fragmented Depressed Replaced Mass
เขาได้ทำการย้ายบล็อกหิน จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยใช้รถเครน ซึ่งจากจุด A ไปยังจุด B นั้น เขาได้เพิ่มน้ำหนักจาก 30,52,72 ตัน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะทำ แม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อย ถ้าเทียบกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่นั้น ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้
Micheal Heizer = Double Negative
เขาได้ทำการขุดทะเลทรายให้ลึกลงไป โดยปริมาณของทรายที่ขุดนั้น = 240,000 ตัน

1.1 ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและธรรมชาติที่แสดงออกในงานศิลปะ
Canceled Crops ของ Dennis Oppenhiem นั้น สิ่งที่เขาได้ทำขึ้นก็เป็นการเปรียบเทียบ การเจริญเติบโตของพืชธรรมชาตินั้น ว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร แม้มนุษย์จะทำอย่างไรไปท่ามกลางธรรมชาตินั้น แต่ไม่นานธรรมชาติก็จะชนะอยู่ดี ธรรมชาติได้ทำลาย สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาให้กลืนไปกลับธรรมชาติเอง
Annual Rings ของ Dennis Oppenhiem เสนอว่าชีวิตของการเจริญเติบโตของธรรมชาตินั้น มันเปลี่ยนแปลง และในแต่ละวันที่เปลี่ยนมันก็น่าสนใจ เพราะมันไม่มีอะไรที่สามาร๔อยู่ได้อย่างถาวร จากแกนของต้นไม้ที่ค่อยๆเพิ่มขึ้น สู่การสูญสลายของร่องน้ำแข็ง เขาได้นำเสนอถึงการเปลี่ยนแปลงของมันโดยธรรมชาติ ว่าได้เกิดอะไรขึ้นมาบ้างในการเปลี่ยนแปลงนั้น
Spiral Jetly ของ Dennis Smithson นั้น ทำให้เราสังเกตสภาพแวดล้อม ได้รับรู้ถึงการแลกเปลี่ยนระหว่างศิลปะกับธรรมชาติ ซึ่งงานนี้แสดงให้เห็นว่า ธรรมชาตอย่างนี้มนุษย์อยู่ไม่ได้ ใช้ไม่ได้ เพราะธรรมชาติเป็นอย่างนี้ จึงทำให้เราคิดมากเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม
จะเห็นได้ว่าตัวอย่างงานศิลปะนี้ เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง ศิลปะและธรรมชาติ และธรรมชาติก็ได้เปลี่ยนแปลงงานศิลปะ ทำให้เกิดความขัดแย้ง และก่อให้เกิดวัตถุทางสุนทรีย์ขึ้นมา ได้สิ่งใหม่แนวความคิดใหม่ จากผลของความขัดแย้งและเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งธรรมชาติสามารถทำลายงานศิลปะได้
แต่ถ้ามนุษย์พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติล่ะ แล้วถ้าธรรมชาติไม่ยินยอมไม่ร่วมมือ ไม่โต้ตอบด้วย ก็เป็นการยากที่จะเปลี่ยนได้ เช่น งานของ Micheal Heizer ที่จะทำการย้ายบล็อคหินในทะเลทราย แม้มันจะเป็นสิ่งเล็กน้อย ถ้าเทียบกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่นั้นแล้ว มันก็ยากที่จะเปลี่ยนได้ ถ้าทำได้ก็ยากลำบาก และในที่สุดธรรมชาติก็ชนะอยู่ดี
และการขุดทรายนั้นก็เช่นกัน มนุษย์ต้องทำการที่ยุ่งยากกว่าที่จะขุดทรายได้นั้น แต่เมื่อทำได้ไม่นาน ธรรมชาติก็จะเข้ามามีบทบาท ทำลายให้มันเปลี่ยนแปลงไปอีกเช่นกัน จนธรรมชาติได้ครอบคลุมงานศิลปะในที่สุด
จะเห็นได้ว่าผลงานศิลปะที่เกิดขึ้นท่ามกลางธรรมชาตินั้น Art and Nature ธรรมชาติได้เข้าไปทำลายงานศิลปะ จึงทำให้งานนั้นๆไม่สามารถอยู่ได้อย่างถาวร ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ แต่ผลที่เราได้นั้นคือ ความขัดแย้งของศิลปะและธรรมชาติ ทำให้วัตถุทางสุนทรีย์เกิดขึ้น แล้วเราได้ทำการบันทึกผลงานศิลปะเหล่านั้น ในรูปของ Documentation เอกสาร ให้เราได้รับรู้ถึงกระบวนการสร้าง การดำเนิน และการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นระหว่าง ศิลปะกับธรรมชาติ ว่าผลออกมาเป็นอย่างไร เราได้ความคิดใหม่อย่างไร จากสิ่งที่เกิดขึ้น จากความขัดแย้งนี้ แม้ว่าตัวศิลปะมันจะไม่สามารถอยู่ได้ แต่เราก็สามารถรับรู้ได้จากสิ่งที่เราบันทึกเอาไว้

1.2 หน้าที่ของงานศิลปะ ประเภท Earthworks หรือ Environmental Art
เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่างานประเภทนี้ เป็นงานที่ไม่อยู่ถาวร ไม่คงทน ชั่วคราว มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ไม่สามารถที่จะเก็บรักษางานเอาไว้ได้ เพราะถูกธรรมลายโดยธรรมชาติ จึงต้องเก็บไว้ในรูปของเอกสาร, VDO, ภาพถ่าย ชี้ให้เห็นว่า Documentation เอกสาร มันเป็นงานศิลปะหรือเปล่า เมื่อเราเข้าไปชมในพิพิธภัณฑ์ แล้วเจอผลงานที่เป็นเอกสาร เราจะยอมรับว่าเป็นงานศิลปะหรือไม่ และก็เป็นการท้าทายวงการศิลปะด้วย ที่นิยมให้ความสำคัญกับวัตถุทางศิลปะ ซึ่งเอกสารที่นำมาแสดงนั้น ไม่ได้แค่บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างศิลปะกับธรรมชาติเท่านั้น แต่เอกสารนั้นจะต้องมีความคิด ซึ่งเป็นมิตินามธรรมอยู่ในนั้นด้วย เอกสารจึงต้อง พรรณนา, อธิบาย, และมีการตีความหมาย ที่เกิดขึ้นในนั้น เพื่อให้คนรับรู้และเข้าใจได้ถึงผลงานศิลปะ ที่ไม่สามาร๔อยู่ได้ถาวรนั้นด้วย มันมีชีวิตของมันอยู่ในนั้น มันมี History ประวัติศาสตร์ของงานด้วย มันมีชีวิตของมันอยู่ในนั้น ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ที่ไหน และมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แล้วเราได้รับรู้ผลอย่างไร ของธรรมชาติที่ได้ทำลายงานศิลปะ ทำให้เกิดความขัดแย้ง และนั้นคือ วัตถุทางสุนทรีย์ ที่เราได้รับรู้จากงานนั้นๆ ผ่านทางสื่อเอกสาร แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะผ่านไปแล้วก็ตาม

1.3 ทฤษฎีเกี่ยวกับโบราณสถาน 2 ทฤษฎี
Classic theory or aesthetic of ruins
คือ เมื่อก่อนนั้นเราใช้ธรรมชาติเป็น model ในการทำงานศิลปะ แต่เมื่อโบราณสถานมันหัก พัง ชำรุด เสียหายไปโดยธรรมชาติแล้ว แต่ก็ยังหลงเหลือซาก ชิ้นส่วน เศษส่วนของโบราณสถาน ให้เราลองใช้จินตนาการดูวิว่า จากสิ่งที่เหลืออยู่นี้ ถ้าในสมัยก่อนที่มันยังสมบูรณ์อยู่ มันจะเป็นอย่างไร รูปร่าง หน้าที่ของมันคืออะไร ก็คล้ายๆกับที่เรา ขุดพบซากโครงกระดูกของไดโนเสาร์ แล้วเราก็ศึกษานำมาประกอบ จนสามารถที่จะรู้จักชีวิตของสิ่งนั้นๆ แม้มันจะไม่สมบูรณ์และหลงเหลือยู่ก็ตาม
Romantic theory of aesthetic of ruins
คือ ถ้าเราได้เห็นโบราณสถานที่ชำรุด เสียหาย เราจะสัมผัสได้ถึงความขลัง ประวัติศาสตร์ ของสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ความลึกลับในนั้น ที่เราสามารถรู้สึกได้เมื่อไปเยือน สัมผัสถึงอำนาจของเวลา ทั้งที่ผ่านมา ที่เป็นอยู่ และกำลังจะเกิดขึ้น สู่พลังอำนาจของธรรมชาติ ที่ทำให้มันเปลี่ยนแปลงไป ความลึกลับบ้างอย่างได้ซ่อนเร้นอยู่ในนั้น ก่อให้เกิดความรู้สึกที่ลึกลับ และทำให้สามารถคิดไปได้อีกว่า ไม่นานหรอก ของที่กำลังอยู่ในปัจจุบัน มันก็ไม่สามารถอยู่ได้อย่างถาวรเช่นกัน สักวันมันก็ต้องมีสภาพอย่างนี้ มันต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน

Barbara Sandrisser
Commomplace = สถานที่เอนกประสงค์ ตามความหมายของ Greek เป็นสถานที่ที่คนมาใช้ทำกิจกรรมร่วมกัน มาชุมนุมกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดที่มีประโยชน์ สร้างสรรค์กันกัน
ส่วนของอังกฤษนั้น ใช้เป็นสถานที่ที่ชาวบ้าน ใช้ร่วมกัน เป็นทุ่งหญ้าให้สัตว์เลี้ยง ออกมากินพืชได้ เป็นที่ซึ่งสงบ แต่ต่อมาถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้เขาขาย commomplaceไป ซึ่งทำให้สูญเสียพื้นที่ๆสงบ และใช้ร่วมกันไป ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย ซึ่งพื้นที่ของประชาชนได้สูญเสียไป
ทำให้ศิลปินมองเห็นว่า บางสิ่งบางอย่างที่เป็นสิ่งเล็กน้อยของประชาชน เพื่อจะใช้ร่วมกันได้หายไป แล้วทำให้นึกเสียดายภายหลังว่า ไม่น่าทำลายสิ่งนั้นเลย ฉะนั้นเราควรที่จะคิดให้ดีเสียก่อน ที่จะมาเสียใจในภายหลัง
ส่วนความหมายของ Culture วัฒนธรรมนั้นมาจาก cultivate(Latin) ซึ่งหมายถึงการดูแลรักษา take care การเพาะปลูก ใส่ใจ ซึ่งชาวนา เกษตรกร เป็นผู้ที่ได้สัมผัสและรู้จัก เป็นอย่างดีกับคำๆนี้ ได้รู้จักชีวิตของดิน ของพืช ของน้ำ ของฟ้า ของสภาพแวดล้อม ว่ามันสัมพันธ์กันอย่างไร เพื่อที่จะได้ดูแลในสิ่งที่เขาเฝ้าเพาะปลูกขึ้นมาให้เป็นผล
แต่เดี๋ยวนี้ชาวนา และเกษตรกร กลับได้รับการถอดทิ้ง เหมือนพวกไม่มีการศึกษา กลายเป็นคนที่ยากจน เป็นคนไม่มีวัฒนธรรมไปเสียนี่ ไม่เหมือนกับพวกผู้ดี ที่มีรถยนต์ขับ ซึ่งใช้เป็นสิ่งที่เปรียบเทียบฐานะของคนไปแล้ว ยกย่องว่าพวกนี้เป็นพวกที่มีวัฒนธรรมไปซะ มีความเจริญได้รับการพัฒนา ซึ่งความจริงแล้ว วัฒนธรรมของชาวนานั้น คือ รากฐานที่เราจะใส่ใจ และดูแลรักษา จากสิ่งที่เรารัก และทำให้งอกงามขึ้น รอชื่นชมผล ของการพัฒนาของมันให้ดีขึ้นๆต่างหาก
เช่น ในญี่ปุ่น ศาลเจ้าอิเสะ Ise นั้นเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีอายุยืนนาน แต่ก็ยังสามารถอยู่ได้มีการซ่อมแซม ดูแลรักษาให้เป็นอย่างดี โดยช่างไม้ที่สืบต่อกันมา เขาได้รู้จักดิน รู้จักต้นไม้ รู้จักการปลูกสร้าง คัดสรร รอระยะเวลา เพื่อจะนำสิ่งที่ดีๆ มาใช้ประโยชน์อย่างถูกต้อง มีความเข้าใจ และรู้สึกในสิ่งที่ทำ ว่ามีรากฐานและจุดเริ่มต้น ความเป็นมาอย่างไร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ อย่างเอาใจใส่ทุกขั้นตอน
ซึ่งสถานที่นี้ก็เป็นเสมือน Commonplace ของญี่ปุ่น ที่คนได้เข้ามาใช้ และเกิดความรู้สึกรัก และเห็นคุณค่า จึงต้องดูแลรักษาเป็นอย่างดี ให้คงอยู่ แม้จะมีมาตั้งแต่อดีต แต่ปัจจุบันก็ยังดำรงอยู่ มันไม่ใช่ของเก่า และของใหม่ แต่มันอยู่ด้วยกัน ด้วยความดูแลเอาใจใส่ เพื่อจะได้มีสืบต่อไปในอนาคต แม้ว่าจะยังคงรักษาไว้ด้วย กรรมวิธีและขั้นตอนในแบบโบราณ แต่มันก็ยังสามารถให้สิ่งนี้ ดำรงและคงอยู่ ทำให้เราได้เห็นถึงคุณค่า ของสุนทรียภาพจากสิ่งนี้ด้วย

2002 copyright by myARTery