+
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
+ + + + + + + + +
วิเคราะห์การพัฒนาผลงาน
ในการศึกษาและสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
จนกระทั่งถึงเวลาของการสร้างสรรค์ศิลปะนิพนธ์นั้น ทำให้ข้าพเจ้าได้ผ่านกระบวนการคิด
ทดลอง ศึกษา เรียนรู้ในด้านความคิด และรูปแบบของผลงาน
เพื่อหาเทคนิค วิธีการ ที่จะนำมาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
ให้เป็นไปตามธรรมชาติของตัวข้าพเจ้าเองมากที่สุด โดยสามารถพัฒนาและคลี่คลาย
ตามลำดับได้ดังนี้
ระยะที่หนึ่ง
(ภาคการศึกษาต้น ปีการศึกษา 2543)
เป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าได้พยายามคิดค้น
หาวิธีการ รูปแบบที่จะนำเสนอผลงาน โดยข้าพเจ้าเริ่มต้นจากแนวความคิดขึ้นมาก่อนว่าตัวเองต้องการอะไร?
ทำไปทำไม? เพื่ออะไร? ทำสิ่งนี้แล้วอะไรจะเกิดขึ้น โดยพยายามทบทวนความรู้จากการเรียนวิชาองค์ประกอบศิลป์
มาประยุกต์ใช้ "ความคิด มาก่อนแล้ว Element จะมา
อย่าใส่ให้มันมากไป ทำยังไงให้งานแสดงความคิด เราจะนำเสนอได้อย่างตรงตัว
โดยที่ส่วนประกอบไม่จำเป็นต้องมาก สะท้อนความคิดแล้วจะมีส่วนที่เป็นของเราเอง"
ในช่วงนี้เมื่อข้าพเจ้าได้ทบทวนความรู้สึกและแนวความคิดดูแล้ว
ว่าจะสื่อเรื่องราวเกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อ "บ้าน"
หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มแปรสภาพความคิดให้ออกมาทางด้านรูปธรรมมากขึ้น
โดยเริ่มลงมือออกแบบรูปทรงของบ้าน และบรรยากาศที่อยากให้เป็น
ด้วยการบันทึกเป็นลายเส้นง่ายๆ หลังจากนั้นพยายามหาวิธีการที่จะตอบสนองอารมณ์ความรู้สึกให้ออกมาเป็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
โดยข้าพเจ้าเลือกกระบวนการถ่ายภาพในการสร้างรูปจำลองของความคิดให้ออกมา
เริ่มจากการสร้างรูปจำลองของตัวบ้าน และพยายามหาบรรยากาศให้สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกมากที่สุด
คือเป็นภาพบ้านที่มีรูปทรงเรียบง่าย มีแสงสว่างเปล่งออกมาจากตัวบ้านท่ามกลางบรรยากาศของความมืดมิดรอบนอก
ทำให้ภาพที่ออกมาสามารถแสดงความรู้สึกของบ้านที่เงียบสงบ
อบอุ่น และปลอดภัยได้ จากนั้นก็ถ่ายภาพบันทึกเอา ในหลายมุมมองด้วยกัน
แล้วจึงนำภาพถ่ายนั้นมาแปลงเป็นผลงานศิลปะภาพพิมพ์อีกที
ซึ่งข้าพเจ้าเลือกใช้เทคนิคภาพพิมพ์โลหะ โดยเลือกเทคนิค
Hard Ground เป็นตัวถ่ายทอดผลงานทั้งหมด ซึ่งข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็นเทคนิคที่ดูเหมือนว่าจะง่าย
และดูเหมือนว่าจะยากในเวลาเดียวกัน แต่ข้าพเจ้าก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่าไม่สามารถทำงานชุดนี่ให้ออกมาสำเร็จได้ดังใจที่หวัง
เพราะว่าเป็นเทคนิคที่ต้องใช้เวลา และความอดทนอันยาวนานกว่าจะได้เป็นภาพออกมา
แต่ในเมื่อตัวของข้าพเจ้าในตอนนั้นกลับมีแต่ความขี้เกียจเป็นองค์ประกอบใหญ่ในการทำงาน
ผลที่ได้ออกมาจึงไม่ เป็นที่น่าแปลกใจว่า ผลงานที่ได้ออกมานั้นเหมือนกับว่ายังทำไม่ถึงขั้น
ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวของมันเอง คงจะมีเพียงผลงานชิ้นที่หนึ่งเท่านั้นที่ข้าพเจ้าทุ่มเทเวลาให้กับมันมากเป็นพิเศษ
ส่วนผลงานที่เหลือขาดคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ สี
น้ำหนัก แสงเงา และบรรยากาศ ยิ่งเมื่อได้เปรียบเทียบกับรูปจำลองความคิดที่ใช้กระบวนการถ่ายรูปด้วยแล้ว
ซึ่งมีความสมจริงอย่างมาก ยิ่งทำให้เห็นถึงความผิดพลาดและความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
นับได้ว่าเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าต้องก้มหัวยอมรับกับผลของการกระทุกสิ่งทุกอย่างอย่างยอมจำนน
จึงต้องกลับไปทบทวน และพิจารณาตนเองอีกครั้งว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้
ระยะที่สอง (ภาคการศึกษาปลาย
ปีการศึกษา 2543)
ในระยะนี้หลังจากที่ข้าพเจ้าทบทวนกับตัวเองแล้ว
มันทำให้ข้าพเจ้าสูญเสียความมั่นใจในการทำงานไป แต่ก็คงยังไม่ยอมแพ้พยายามจะหาอะไรที่เหมาะกับตัวเองจริงๆ
ในเมื่อทางนั้นไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงลองอีกทางหนึ่ง ทำให้รูปแบบงานแตกต่างออกไป
จากบรรยากาศที่มีความสว่างท่ามกลางความมืดมิด ข้าพเจ้ากลับเปลี่ยนรูปแบบมาหาความหมายของความอบอุ่นของบ้าน
ในสภาวะช่วงเวลายามที่มีแสงสว่างแทน คือเปลี่ยนจากดำเป็นขาวเลยก็ว่าได้
นับเป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้ากำลังคิดหาวิธีแก้ปัญหากับตัวเองในด้านของรูปแบบงาน
แต่ในเรื่องของแนวความคิดข้าพเจ้ายังยึดในเรื่องเดิมอยู่
ข้าพเจ้าใช้หลักการของแสงและเงาเป็นตัวนำเสนอแทน ซึ่งช่วงเวลาตอนแรกที่ทำงานชุดนี้
ตรงกับฤดูหนาวพอดี ทำให้ข้าพเจ้ามีความรู้สึกประทับใจกับลำแสงของพระอาทิตย์
ที่ทอแสงให้ความอบอุ่นกับเราได้ แต่ดูเหมือนว่าข้าพเจ้าจะเริ่มกลับมาสู่สภาวะความเป็นจริงมากขึ้น
ทำให้ผลงานในช่วงนี้ออกมาดูแล้วขาดจินตนาการไป กลายเป็นงานที่เรียบง่ายดูไม่น่าสนใจเท่าที่ควร
แต่ข้าพเจ้ากลับได้อะไรบางอย่างที่สามารถนำมาใช้เป็นลักษณะของสัญลักษณ์ส่วนตัว
ว่าสถานที่ สิ่งของ หรือว่าวัตถุใดๆที่ข้าพเจ้าเลือก ที่จะบันทึกมุมมองอกมาว่าสิ่งนั้นๆ
มีความเกี่ยวข้อง แล้วตัวข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจอะไรกับมันถึงได้เลือมาสร้างสรรค์ผลงาน
ทางด้านเทคนิคในช่วงแรกข้าเจ้ายังคงยึดติดกับเทคนิค Hard
Ground ต่อไป เพราะก็ยังคงอยากเอาชนะมันให้ได้ แต่ว่าผลที่ได้ออกมานั้น
ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร น้ำหนักที่ออกมายังใช้ไม่ได้
ยิ่งเป็นเรื่องราวของบรรยากาศแสงและเงาด้วยแล้ว ความสมบูรณ์ทางน้ำหนักน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญ
ข้าพเจ้าจึงต้องเริ่มยอมรับกับตัวเองอีกครั้ง แล้วเริ่มปรับปรุงตัวเองให้เข้าไปรู้จัก
สัมผัส และทดลองกับเทคนิคอื่นๆดูบาง ซึ่งข้าพเจ้าก็เริ่มที่จะใช้เทคนิค
Aquatint มาใช้เป็นตัวสร้างน้ำหนักแทนการใช้เทคนิค Hard
Ground เพียงอย่างเดียว แต่แล้วเมื่อเริ่มคุ้นเคยกับเทคนิคใหม่ข้าพเจ้าก็ได้พัฒนาความขี้เกียจในการทำงานเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง
คือ ในตอนแรกที่ทำเทคนิค Aquatint นั้น ข้าพเจ้ายังไล่น้ำหนักโดยการใช้ดินสอไขค่อยๆไล่น้ำหนักอยู่
แต่ในตอนหลังเริ่มปรับเปลี่ยนมาใช้พู่กันลม (Air Brush)
แทน ทำให้น้ำหนักที่ออกมาขาดส่วนที่เป็นลายละเอียดของน้ำหนักเงา
จึงส่งผลให้เงาที่ออกมาดูแข็งเป็นพิเศษ ทำให้ขาดมิติของความเป็นเงาที่จะต้องมีความหนัก
เบา ต่างกันออกไป แต่ในผลงานชุดนี้ข้าพเจ้าก็ทดลองในเรื่องการใช้สีสรรมากขึ้น
โดยพยายามจะทำให้สีเข้ากับบรรยากาศที่ต้องการแสดงออก และเริ่มมีการใช้เทคนิค
Soft Ground เป็นตัวทำพื้นผิวของวัสดุ ที่เป็นสถานที่
ที่แสงและเงาจะต้องตกกระทบลงไป
แม้ว่าผลงานชิ้นนี้ข้าพเจ้าจะพอใจในระดับหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าก็มีความคิดว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่รอคอยอยู่ข้างหน้าให้เผชิญกับมันแน่นอน
ระยะที่สาม โครงการเตรียมศิลปะนิพนธ์
(Terminal Project)
เมื่อมาถึงโครงการเตรียมศิลปนิพนธ์
ก็นับว่าเป็นช่วงหัวเหลียวหัวต่อของข้าพเจ้าอย่างมาก เพราะว่ากว่าจะมีแนวงานที่ลงตัวนั้น
ข้าพเจ้าต้องพบกับความล้มเหลวอย่างหนักอีกครั้งหนึ่ง คือในตอนแรกผลงานของข้าพเจ้าดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไร
เพราะข้าพเจ้าก็เริ่มทำงานต่อเนื่องจากชุดที่แล้ว ซึ่งยังคงเป็นเรื่องความอบอุ่นของบ้าน
และใช้แสงและเงาเป็นตัวนำเสนอเช่นกัน แต่เริ่มขยับจากเรื่องราวของแสงเงาภายในบ้าน
มาสู่การใช้แสงเงาของตัวบ้านเองที่ทอดทาบผ่านสถานที่ต่างๆรอบบริเวณบ้านแทน
แต่ปัญหามันก็เกิดขึ้นจนได้ เพราะจากชุดที่แล้วข้าพเจ้าเริ่มเข้าหาความเป็นจริงมากกว่าจินตนาการ
แล้วยิ่งใช้วิธีการสร้างภาพจำลองของความคิดด้วยวิธีการทางภาพถ่ายด้วยแล้ว
มันทำให้ข้าพเจ้ายิ่งยึดติดกับรูปแบบงานที่เหมือนจริงมากขึ้น
แต่ว่าผลงานที่ได้ออกมาลับทำได้ไม่ถึงขั้นเท่าที่ควร ประกอบกับความผิดพลาดทางเทคนิคด้วยแล้ว
งานในช่วงแรกจึงถึงขั้นวิกฤต ต้องกลับไปทบทวนตัวเองอย่างหนักว่าจะเอาอย่างไรกันแน่
ตามคำปรึกษาของอาจารย์ ว่า "ต้องสร้างโลกของตนเองขึ้นมา
เน้นเรื่องของจินตนาการมากกว่าความจริง ถามตัวเองดูว่าอยากทำอะไรกันแน่"
หลังจากได้ยอมรับสิ่งต่างๆและถามความรู้สึกของตัวเองแล้ว
ข้าพเจ้าจึงได้ย้อนกลับไปสนใจเรื่องบรรยากาศของบ้านที่อบอุ่นท่ามกลางความมืดมิดอีดครั้ง
เพราะว่าเมื่อเวลามีปัญหาข้าเจ้ามีความต้องการที่จะกลับบ้านเป็นที่สุด
อยากให้อ้อมกอดของบ้านคอยรอต้อนรับ การกลับไปของข้าพเจ้าอย่างเหนื่อยอ่อน
แต่ว่าระหว่างนั้นข้าพเจ้ารู้สึกกลับตัวเองว่า ทำไมมันช่างยาวไกลกว่าเดิม
ทั้งที่มันก็เป็นระยะทางที่กลับบ้านตามปกติ บรรยากาศรอบข้างก็ค่อยๆมืดมิดลง
มืดมิดลง และแล้วข้าพเจ้าก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่คุ้นเคยอยู่เบื้องหน้า
ค่อยๆย่างเท้าไปหามัน แสงไฟที่หน้ารั้วบ้าน เปิดประตูเข้าไปภายในได้สัมผัสถึงแสงสว่างของตัวบ้าน
บรรยากาศที่เป็นพื้นที่ของเราเอง ที่ได้โอบล้อมตัวเราไว้
ที่ๆใจและกายได้พักผ่อนลงชั่วขณะ
และการสร้างสรรค์ศิลปะในช่วงนี้ข้าพเจ้าได้นำสัญลักษณ์มาใช้
คือ การใช้รูปจำลองของม้า มาเป็นสื่อแทนตัวของข้าพเจ้าเอง
เพิ่มลายละเอียดเรื่องราวของบรรยากาศให้มากขึ้น ว่าอยู่ในสถานที่อย่างไร
แล้วจึงลงมือบันทึกภาพเพื่อใช้เป็นรูปจำลอง สู่กระบวนการทางภาพพิมพ์อีกทีหนึ่ง
ทางด้านเทคนิคข้าพเจ้าได้ใช้เทคนิค Hard Ground เป็นหลักในการทำงานทั้งหมดเช่นเคย
จะมีบางชิ้นที่ใช้เทคนิค Aquatint แต่ผลที่ได้ออกมาก็ไม่ดีนัก
เพราะความไม่ถนัดในเทคนิคนี้รวมทั้งระยะเวลากระชั้นชิดเกินไป
แต่ว่าการสร้างสรรค์ศิลปะในช่วงนี้ ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ทั้งกระบวนการทางด้านความคิดและทางด้านเทคนิคมากขึ้น
และรู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
ระยะที่สี่ โครงการศิลปะนิพนธ์
(Thesis)
และแล้วระยะเวลาแห่งการสร้างสรรค์ศิลปนิพนธ์ก็มาถึง
เมื่อหว่านพืชก็ย่อมต้องหวังผล แต่ผลที่ได้จะออกมาเป็นอย่างไรนั้น
ก็ย่อมขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ของเจ้าของ ว่าจะดูแลรักษาเอาใจใส่เพียงใด
ระยะเวลาที่ได้ผ่านการเติบโตตั้งแต่เล็กจนใหญ่ ผ่านวัน
คืน อุณหภูมิที่แตกต่าง ฤดูกาลอันหลากหลาย อุปสรรคต่างๆนานา
จนล่วงสู่กาละแห่งการเก็บเกี่ยวผลนั้น ทีนี้ไม่ว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร
ดีหรือไม่ดีเพียงใด ผลทั้งหมดนั้นจะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงกระบวนการทั้งหมดที่ผ่านมา
และเราก็คงจะต้องยอมรับถึงผลอันนั้น ที่เราได้เพาะปลูกด้วยมือของเราเอง
แต่สิ่งที่เราจะได้ควบคู่จากการเพาะปลูกอันนี้ คือ อย่าหวังผลโดยยังไม่หว่านพืชเช่นกัน
การสร้างสรรค์ศิลปนิพนธ์ชุดนี้ ข้าพเจ้าสร้างให้สืบเนื่องจากช่วงที่แล้ว
ไม่ว่าจะทางด้านเนื้อหาแนวความคิด รูปแบบ เทคนิคและวิธีการ
หลังจากที่ได้พยายามศึกษาและทดลอง ทั้งผิดและถูก ซึ่งได้พยายามแก้ไขปรับปรุง
เพื่อให้ผลงานมีความสัมพันธ์กันทั้งด้านความคิดและรูปแบบการนำเสนอ
ข้าพเจ้าได้วิเคราะห์ถึงการสร้างสรรค์ศิลปะในช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมด
พยายามทำความเข้าใจต่ออารมณ์ความรู้สึกของตนเองที่ต้องการแสดงออก
เพื่อให้ตรงกับความต้องการมากที่สุด โดยในชุดนี้ข้าพเจ้าได้ใช้สัญลักษณ์เป็นแกนในการนำเสนอมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนตนเอง ใช้แทนบ้าน บรรยากาศและสถานที่
ข้าพเจ้าพยายามศึกษาและเข้าไปปรับเปลี่ยนกับมันมากขึ้น
ซึ่งข้าพเจ้าต้องการสร้างสัญลักษณ์เพื่อใช้แสดงความหมายของอีกสิ่งหนึ่ง
เพื่อสื่อถึงอารมณ์ ความรู้สึก และสื่อความหมายของตนเองขึ้นมา
เป็นการผสานกันระหว่างจินตนาการ และความเป็นจริง ให้อยู่ภายใต้เนื้อหา
อารมณ์ความรู้สึก และบรรยากาศสภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้นมา
ทางด้านเทคนิคข้าพเจ้ายังคงเลือกที่จะใช้เทคนิค Hard Ground
เพียงอย่างเดียวเช่นเคย แต่เริ่มมีความชำนาญและรู้จักกับเทคนิคนี้มากขึ้น
สามารถควบคุมน้ำหนักให้ได้ออกมาอย่างที่ต้องการ
และข้าพเจ้าก็ได้จัดผลงานให้ออกมาในรูปแบบที่จัดวางกับสถานที่ด้วย
คือ เสนอผลงานภาพพิมพ์ที่เสร็จสมบูรณ์ ร่วมกับการจัดวางในสถานที่
ซึ่งจำลองให้เป็นบรรยากาศเดียวกับผลงานภาพพิมพ์ เหมือนกับว่าให้ผู้ชม
ได้เข้ามามีส่วนรับรู้ในผลงาน "ฉันและพื้นที่ของฉัน"
ได้ในรูปแบบ 3 มิติได้อีกด้วย
ดังนั้นผลงานในโครงการศิลปะนิพนธ์ ข้าพเจ้าจึงมีความพอใจตัวผลงาน
ที่ผ่าฟันจนออกมาได้ในรูปลักษณ์ที่อยากให้เป็น แม้ว่าจะได้เพียงในระดับหนึ่งก็ตาม
แต่เมื่อย้อนกลับไปดูผลงานในช่วงระยะที่หนึ่งแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่าต้องผ่านอะไรต่อมิอะไรมาบ้างจนกว่าจะมีวันนี้
+
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
+ + + + + + + + +
|